หน้าหลัก > ศาลา มีสาระ > อาการล้าสายตาจากสื่อดิจิตอลในช่วง work from home
อาการล้าสายตาจากสื่อดิจิตอลในช่วง work from home
อาการล้าสายตาจากสื่อดิจิตอลในช่วง work from home
04 Nov, 2021 / By salacrm01
Images/Blog/112VaZEC-อาการล้าสายตา.png

อาการล้าสายตาจากสื่อดิจิตอลในช่วง work from home

         จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่เข้าขั้นวิกฤตและกำลังทวีคูณจำนวนผู้ติดเชื้อขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้หลากหลายหน่วยงาน เร่งรัดการใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (social distancing) ตามแนวทางปฏิบัติของ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อลดโอกาสในการสัมผัสเชื้อและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อในวงกว้าง หลายหน่วยงานจึงให้บุคลากรปฏิบัติงานนอกสำนักงาน (work from home) มากขึ้น รวมไปถึงสถาบันการศึกษาได้จัดการเรียนการสอนออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบมากขึ้น 

         ด้วยปัญหาดังกล่าว ทำให้หลายท่านจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาติดต่อสื่อสารผ่านอุปกรณ์สื่อสารอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ (computers), สมาร์ตโฟน (smartphones) หรือ แท็บเล็ต (tablets)  ซึ่งจากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้แสดงข้อมูลแนวโน้มการใช้สมาร์ตโฟนของคนไทยที่เพิ่มมากขึ้นในทุก ๆ ปี โดยเฉพาะในปี 2564 จากการรวบรวมข้อมูลของ digital 2021 global overview report Thailand ได้แสดงข้อมูลว่าคนไทยใช้ระยะเวลาอยู่หน้าจอสมาร์ทโฟนเฉลี่ยวันละ 8 ชั่วโมง 44 นาที ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีแนวโน้มที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ  อีกในช่วง work from home และการจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ ซึ่งมีโอกาสที่จะเกิดสภาวะอาการเมื่อยล้าทางสายตา (digital eye strain: DES) หรือกลุ่มอาการอื่น ๆ ทางสายตาที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์ (computer vision syndrome: CVS) ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการจ้องมองคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนมากและนานเกินไป อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพดวงตาในระยะยาวได้

ปัญหาทางสายตาจากการเรียนหรือประชุมออนไลน์ผ่าน work from home ที่พบได้บ่อย

          คงเป็นปัญหาที่หลีกเลี่ยงปัจจัยสาเหตุได้ยาก จากสถานการณ์ที่บีบบังคับให้หลายท่านต้องใช้ระยะเวลาในการจ้องมองจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นานมากขึ้น ซึ่งมีการศึกษา พบว่าประมาณร้อยละ 90 ของผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์ต่อเนื่องมากกว่า 3 ชั่วโมงต่อวัน จะมีอาการในกลุ่ม DES หรือ CVS ซึ่งอาการดังกล่าวอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพดวงตาและคุณภาพชีวิตได้ ดังนี้คือ

อาการเมื่อยล้าสายตาจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (digital eye strain: DES) หรือความผิดปกติทางสายตาจากการใช้คอมพิวเตอร์ (computer vision syndrome: CVS)

          ภาวะอาการเมื่อยล้าสายตา (eye strain) เป็นกลุ่มอาการ (symptoms) ที่แสดงความผิดปกติของตาที่เกิดจากการใช้สายตาในกิจกรรมที่ต้องอาศัยการมอง เพ่งหรือจ้องเพื่อการโฟกัสการมองเห็น เป็นระยะเวลานาน โดยหากสาเหตุนั้นเกิดจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์ จะเรียกว่ากลุ่มอาการ digital eye strain: DES ซึ่งมีความใกล้เคียงกับกลุ่มอาการทางตาจากการใช้คอมพิวเตอร์ (computer vision syndrome: CVS) โดยบางแหล่งที่มาให้ถือว่าเป็นกลุ่มอาการเดียวกัน

อาการแสดง

          ค่อนข้างแสดงอาการได้หลากหลาย และยังไม่มีอาการที่จำเพาะ โดยส่วนใหญ่จะมีอาการ ตาแห้ง (dry eyes), ตาล้า (eyestrain), มองเห็นพร่ามัว (blurred vision), ปวดศีรษะ (headaches), ปวดตึงคอบ่าและไหล่ (neck & shoulder pain) หรือพบอาการที่รุนแรงเช่น ไม่สามารถมองเห็นแสงจ้าได้ตามปกติ (light sensitivity หรือ photophobia)

อาการที่พบบ่อย

         จากการรวบรวมข้อมูลอาการแสดงของ DES หรือ CVS ของกลุ่มบุคคลที่ทำงานในสำนักงาน (office workers) พบอาการแสดงที่พบบ่อยดังตาราง

ตารางที่ 1 แสดงร้อยละความถี่ของอาการแสดงกลุ่มโรค DES หรือ CVS

อาการแสดง (symptoms)

ร้อยละของอาการแสดงที่รายงาน

อาการตาเหนื่อย, ตาขี้เกียจ (tired eyes)

39.8

ตาแห้ง (dry eyes)

31.5

ไม่สบายดวงตา (eye discomfort)

30.8

อาการตาล้า (eye strain)

30.6

ระคายเคืองตา (irritated หรือ burning eyes)

27.5

ตาไม่สู้แสง (sensitivity to bright light)

26.3

มองเห็นพร่ามัว (blurred vision)

23.4

ปวดศีรษะ (headache)

22.3

โฟกัสตำแหน่งภาพลำบาก (difficulty in refocusing)

21.6

 

จากอาการดังกล่าว สามารถจำแนกออกเป็น 2 กลุ่มตามพยาธิสภาพ คือ

1.อาการที่เกิดจากพยาธิสภาพภายนอก (external symptom) เช่น อาการตาแห้ง, ระคายเคืองตา, แสบตา

2.อาการที่เกิดจากพยาธิสภาพภายใน (internal symptom) เช่น อาการตาเหนื่อย, มองเห็นพร่ามัว, ปวดศีรษะ และ โฟกัสภาพลำบาก

          ซึ่งจะเห็นได้ว่าภาวะ DES สามารถทำลายสุขภาพดวงตาทั้งโครงสร้างดวงตาด้านนอกและระบบการมองเห็นด้านใน ดังนั้นภาวะ DES จึงควรเป็นหนึ่งในกลุ่มอาการที่หลายท่านควรให้ความสำคัญและรู้จักป้องกันและแก้ไขอย่างถูกวิธี

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของการเกิดอาการ DES

1.การจ้องมองสื่อดิจิตอลเป็นระยะเวลานาน และไม่มีการหยุดพักสายตา

2.แสงสว่างของหน้าจอ และแสงสว่างภายในห้องไม่เหมาะสม

3.มีแสงสะท้อนจากหน้าจอสื่อดิจิตอล

4.ระยะห่างของจอสื่อดิจิตอลไม่เหมาะสม

5.ระดับสายตาในการมองไม่เหมาะสม

6.ท่าทางในการทำงานไม่เหมาะสม

      โดยสาเหตุของอาการ DES ล้วนมาจากพฤติกรรมและกิจวัตรทั้งสิ้น เช่น การจ้องมองสื่อดิจิตอลอย่างยาวนาน, กระพริบตาน้อยกว่าปกติ, ไม่พักผ่อนสายตา และสาเหตุจากสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เช่น ตำแหน่ง ระยะห่าง แสง และความสว่าง ซึ่งทั้งสาเหตุเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่สามารถแก้ไขและป้องกันได้

การป้องกันและลดปัจจัยเสี่ยง

1.ปรับระดับสายตาให้เหมาะสม

         การปรับระดับสายตาในที่นี้ หมายถึง การจัดท่าทางของการทำงานหรือเรียนให้เหมาะสม ผ่านการควบคุมตำแหน่งของจอ ตำแหน่งของอุปกรณ์อื่นๆ ระยะห่าง และการจัดวางท่าทางการนั่ง ซึ่งควรปรับให้ถูกต้องดังนี้

1.1) ระยะห่างระหว่างสายตากับจุดศูนย์กลางจอคอมพิวเตอร์ควรห่าง 20-28 นิ้ว และหน้าจอคอมพิวเตอร์ควรอยู่ต่ำกว่าระดับสายตา 15-20 องศา

1.2) แป้นพิมพ์หรืออุปกรณ์ที่ใช้เขียนควรอยู่ต่ำกว่าจอโดยให้ข้อมือและแขนขนานกับพื้น ข้อศอกตั้งฉาก ไม่อยู่ในลักษณะที่ต้องเอื้อม

1.3) ปรับระดับเก้าอี้ให้ฝ่าเท้าสามารถวางราบกับพื้นเท้าตั้งฉากต้นขาขนานกับพื้น

1.4) อุปกรณ์และสื่ออื่นๆเพิ่มเติม เช่น แท็บเล็ต ควรอยู่ในระดับและระยะเดียวกับจอ เพื่อลดการขยับหรือหันศีรษะไปมา ลดการปรับโฟกัสสายตาที่มากเกินไป

2.ปรับแสงสว่างให้เหมาะสม

         การปรับแสงสว่างจะต้องทำควบคู่กันทั้งแสงสว่างจากจอคอมพิวเตอร์ และแสงสว่างภายในห้องหรือบริเวณที่ทำงาน

2.1) แสงสว่างจากจอคอมพิวเตอร์ ไม่ได้มีข้อกำหนดความสว่างที่ชัดเจน แต่แนะนำให้ปรับความสว่างหน้าจอและความแตกต่างของสีระหว่างพื้นหลังกับตัวอักษร ให้คมชัดและสบายตาที่สุด

2.2) แสงสว่างภายในห้องและภายนอก เช่น แสงจากหน้าต่าง, แสงจากหลอดไฟ แนะนำให้ปรับปริมาณแสงให้รู้สึกสบายตา ไม่จ้าหรือมืดจนเกินไป แต่ต้องระมัดระวังการเกิดแสงสะท้อนจากจอ (glare & reflection) ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการระคายเคืองตาได้

        นอกจากปริมาณความสว่างของแสงแล้ว ประเภทของแสงถือว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำลายสุขภาพดวงตาได้ โดยแสงจากสื่อดิจิตอลที่ส่งผลอันตรายต่อดวงตาได้มาก คือ แสงสีฟ้า (blue light) ซึ่งเป็นช่วงแสงขาว (visible light) ที่ความยาวคลื่น 380-500 nm จัดเป็นแสงที่มีพลังงานสูง (High energy visible: HEV) ซึ่งสามารถทะลุผ่านดวงตาและทำลายชั้นเรตินา (retinal layers) ได้ โดยจากข้อมูลพบว่าการที่ดวงตาได้รับแสงสีฟ้าเป็นระยะเวลานาน จะทำให้เกิดภาวะอาการตาล้า (digital eye strain), รบกวนสมดุลการนอนหลับ (circadian rhythm disruption) ผ่านกลไกการกดระดับเมลาโทนิน (melatonin suppression) และผลเสียในระยะยาวจากการที่ ชั้นเรตินาถูกทำลายมาเรื่อย ๆ ตามช่วงอายุ เรียกว่า โรคจอประสาทตาเสื่อมตามอายุ (Age related Macular degeneration: AMD)

        ดังนั้นจึงจำเป็นต้องควบคุมปัจจัยเสี่ยงทั้งปริมาณของแสง และประเภทของแสงเพื่อลดสาเหตุกระตุ้นของอาการ DES และอาการร่วมอื่น ๆ โดยวิธีป้องกันอันตรายจากแสงสีฟ้า ทำได้ง่าย ๆ โดย ลดปริมาณการมองหน้าจอดิจิตอลที่เป็นแหล่งกำเนิดแสงสีฟ้า โดยเฉพาะช่วง 1-2 ชั่วโมงก่อนเข้านอน เพราะนอกจากแสงจะทำลายดวงตาได้แล้ว ยังมีผลรบกวนสมดุลการนอนได้อีกด้วย หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ให้พิจารณาอุปกรณ์ที่มีคุณสมบัติกรองแสงสีฟ้า (blue-blocking equipment) เช่น แว่นคอมพิวเตอร์กรองแสงสีฟ้า (blue-blocking spectacles),   แผ่นหน้าจอกรองแสง (overlay screen) หรืออาจพิจารณาการใช้โหมดหน้าจอที่มีคุณสมบัติลดแสงสีฟ้า (filter app-blue light reduction mode) ก็จะสามารถลดปัจจัยกระตุ้นการเกิดอาการตาล้าได้

3.การพักสายตาระหว่างทำงาน

         การทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน จะทำให้ดวงตาเหนื่อยล้าจากการเพ่งและโฟกัส โดยการที่สายตาจ้องมองวัตถุระยะใกล้ เป็นระยะเวลานาน ร่างกายจะตอบสนองจากการเพ่งโดยการกระพริบตาที่ความถี่น้อยลง ซึ่งปกติความถี่ของการกระพริบตา (blink rate) จะอยู่ที่มากกว่า 15 ครั้งต่อนาที แต่มีการศึกษาแสดงให้เห็นว่า หากมีการจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน อัตราการกระพริบตาจะน้อยลงเหลือ 6-7 ครั้งต่อนาที ซึ่งส่งผลให้เกิดอาการ DES ได้ ดังนั้นควรพักสายตาเป็นระยะ ๆ ระหว่างการใช้คอมพิวเตอร์ โดยยึดหลักตามกฎ 20-20-20 ดังนี้คือ ในทุก ๆ 20 นาที ให้หยุดพักสายตาหรือหลับตานาน 20 วินาที และมองปรับโฟกัสเพื่อมองระยะไกล 20 ฟุต หรือ 6 เมตร โดยการพักสายตาแบบนี้เรื่อย ๆ จะลดอาการ DES ได้ โดยเฉพาะอาการตาแห้ง อาการแสบตาและปวดศีรษะ

การรักษาอาการ DES

        ปัจจุบันยังไม่มียาหรือแนวทางการรักษาที่ชัดเจน เนื่องจากเป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากพฤติกรรมที่สามารถปรับแก้ไขได้ โดยการรักษาหลักจะเป็นการรักษาตามอาการที่เป็น โดยอาการที่พบมากและรบกวนชีวิตประจำวัน[6] ได้แก่ อาการตาแห้ง ไม่สบายดวงตา แสบตา ตามลำดับ

อาการตาแห้ง (dry eyes disease: DED)

         อาการตาแห้ง เป็นภาวะที่เกิดความผิดปกติของชั้นน้ำตา (tear film) ซึ่งประกอบด้วย ชั้นสารเมือก (mucus layer), ชั้นสารน้ำ (aqueous layer) และชั้นไขมัน (lipid layer) ซึ่งทั้งสามชั้นมีหน้าที่ ปกป้องและช่วยให้ความชุ่มชื้นกับดวงตา โดยหากเกิดความผิดปกติจะทำให้เกิดอาการตาแห้ง เช่น อาการฝืดเคืองดวงตา ระคายเคืองตา, เหมือนมีเศษฝุ่นผงเข้าตา, แพ้แสง, แพ้ลม, ตาพร่ามัว, น้ำตาไหลง่ายขึ้น เป็นต้น

การรักษาอาการตาแห้ง

         ตามแนวทางปฏิบัติการรักษาอาการตาแห้งระดับปฐมภูมิ ได้แนะนำให้แยกประเภทของอาการตาแห้งออกเป็น 2 กลุ่มดังนี้

1.กลุ่มที่มีความผิดปกติในการสร้างน้ำตา (aqueous deficiency)

ผู้ป่วยในกลุ่มนี้จะสร้างน้ำตาจากต่อมน้ำตาได้น้อยกว่าปกติ ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ท่อน้ำตาอุดตัน, การใช้ยาบางชนิดที่มีผลทำให้ตาแห้ง หรือผู้ป่วยกลุ่มอาการโจเกรน (Sjogren syndrome)

2.กลุ่มที่มีการระเหยของน้ำตาผิดปกติ (evaporative deficiency)

ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีการสร้างน้ำตาจากต่อมน้ำตาได้ปกติ แต่มีการระเหยของน้ำตาที่มากกว่าปกติ เกิดได้จาก

         2.1) ปัจจัยภายใน เช่น ต่อมน้ำตามัยโบเมียนผิดปกติ (Meibomian gland dysfunction) ทำให้ขาดชั้นไขมันในการกักเก็บน้ำตา หรืออัตราการกระพริบตาน้อยลง ทำให้น้ำตาสูญเสียหรือระเหยได้มากและนานขึ้น

         2.2) ปัจจัยภายนอก เช่น การขาดสารอาหารกลุ่มวิตามินเอ, การสวมใส่เลนส์สายตา (contact lens), โรคประจำตัวอื่น ๆ เช่น เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้, สภาพแวดล้อมอื่น ๆ เช่น   แสงสีฟ้า, แสงจากสื่อดิจิตอล เป็นต้น

         ซึ่งเป้าหมายของการรักษาอาการตาแห้งคือการบรรเทาอาการของผู้ป่วย โดยการทดแทนด้วยน้ำตาเทียม (artificial tears) ดังนั้นน้ำตาเทียมจึงเป็นทางเลือกหลักในการรักษาอาการตาแห้ง และสามารถใช้ได้กับอาการตาแห้งทุกชนิด ส่วนยาและหัตการอื่นๆ จะเลือกใช้ในลำดับถัดไปหลังจากประเมินอาการผู้ป่วยว่าไม่ตอบสนองต่อน้ำตาเทียมเท่าที่ควร เช่น การพิจารณาใช้ยาต้านการอักเสบกดภูมิคุ้มกัน (topical cyclosporine, topical steroid),  ยากระตุ้นการสร้างเมือก (rebamipide) หรือหัตการและการผ่าตัด (การอุดท่อระบายน้ำตา: punctal occlusion, การผ่าตัดหนังตา: tarsorrhaphy)

น้ำตาเทียม (artificial tears)

          น้ำตาเทียมสามารถแบ่งได้หลายประเภท และมีคำแนะนำการใช้ที่แตกต่างกัน ดังแสดง

ตารางที่ 2 แสดงประเภทและรายละเอียดของน้ำตาเทียม

ประเภทน้ำตาเทียม

รายละเอียด

แบ่งตามการใช้งาน

รูปแบบเปิดใช้ครั้งเดียว (single dose unit)

ปราศจากสารกันเสีย มีอายุหลังเปิดใช้งานไม่เกิน 1 วัน

รูปแบบเปิดใช้หลายครั้ง (multiple dose unit)

มีส่วนผสมของสารกันเสีย สามารถใช้ได้หลายครั้ง อายุหลังเปิดใช้ขึ้นกับองค์ประกอบภายใน

แบ่งตามรูปแบบผลิตภัณฑ์

รูปแบบสารละลาย (solution)

รูปแบบเจล (gel)

รูปแบบขี้ผึ้ง (ointment)

แบ่งตามสารสำคัญในตำรับ

สารให้ความชุ่มชื้น (demulcents)

สารให้ความชุ่มชื้น กลุ่ม cellulose derivative

ตัวอย่าง: carboxymethylcellulose sodium, hydroxyethyl cellulose, hydroxypropyl methylcellulose และ methylcellulose

สารให้ความชุ่มชื้นกลุ่ม dextran 70

สารให้ความชุ่มชื้นกลุ่ม gelatin

สารให้ความชุ่มชื้นกลุ่ม polyols

ตัวอย่าง: glycerin, polyethylene glycol 300, polyethylene glycol 400, propylene glycol

สารให้ความชุ่มชื้นกลุ่ม polyvinyl alcohol

สารให้ความชุ่มชื้นกลุ่ม povidone

สารหล่อลื่น (emollients)

สารหล่อลื่นกลุ่ม lanolin

ตัวอย่าง: lanolin, anhydrous lanolin

สารหล่อลื่นกลุ่มน้ำมัน

ตัวอย่าง: light mineral oil, paraffin, petrolatum, white wax

         

      โดยสารสำคัญที่อยู่ในตำรับ ส่งผลต่อคุณสมบัติ ความหนืด, การยึดเกาะ, การกระจายตัว และการเคลือบผิวดวงตา โดยความหนืดของตำรับที่มากจะใช้กับผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อน้ำตาเทียมที่มีความหนืดน้อย ดังนั้นการเลือกใช้น้ำตาเทียมให้เหมาะกับผู้ป่วย จึงเป็นสิ่งสำคัญ

เลือกน้ำตาเทียมอย่างไรให้เหมาะสมกับผู้ป่วย

          จากการศึกษาของ Majid Moshirfar (2014) ได้แนะนำการเลือกน้ำตาเทียมโดยพิจารณาจากประเภทและความรุนแรงของโรค รวมไปถึงความต้องของผู้ป่วยรายบุคคล

โดยการพิจารณาน้ำตาเทียมจะพิจารณาตามประเภทและความรุนแรงดังนี้คือ

การรักษาขั้นที่ 1 ในขั้นแรกจะเริ่มพิจารณาการรักษาด้วยน้ำตาเทียมที่ประกอบด้วย cellulose derivative เป็นองค์ประกอบ เช่น carboxymethylcellulose (CMC), hydroxypropyl methylcellulose (HPMC)

การรักษาขั้นที่ 2 ในกรณีที่การรักษาขั้นที่ 1 ไม่ตอบสนองต่อการรักษาให้พิจารณาน้ำตาเทียมที่มีองค์ประกอบของ sodium hyaluronate เนื่องจากมีการศึกษา ที่แสดงให้เห็นว่า sodium hyaluronate  มีประสิทธิภาพที่ดีกว่าน้ำตาเทียมกลุ่ม cellulose derivative ในกลุ่มผู้ป่วยอาการตาแห้งระดับปานกลาง-รุนแรง แต่ประสิทธิภาพขององค์ประกอบทั้งสองไม่ต่างกันในกลุ่มผู้ป่วยอาการตาแห้งระดับอ่อน 

การรักษาขั้นที่ 3 หากการรักษาข้างต้นไม่สามารถควบคุมอาการตาแห้งได้ อาจพิจารณาสูตรตำรับ ที่มีองค์ประกอบของ polyethylene glycol 400 (PEG400) หรือ propylene glycol (PG) เป็นต้น

ตารางที่ 3 แสดงการพิจารณาน้ำตาเทียมตามประเภทและความรุนแรง

อาการตาแห้ง (dry eye disease: DED)

ระดับความรุนแรง (severity)

aqueous deficiency

evaporative deficiency

First line therapy

(ผลิตภัณฑ์ความหนืดต่ำ)

Second line therapy (ผลิตภัณฑ์ความหนืดเพิ่มขึ้น)

 

ผลิตภัณฑ์ที่มีองค์ประกอบของ propylene glycol, polyethylene glycol

ตาแห้งระดับอ่อน - ปานกลาง

ผลิตภัณฑ์ที่มีองค์ประกอบ cellulose derivative

ผลิตภัณฑ์ที่มีองค์ประกอบ

sodium hyaluronate 0.1-0.15 %

ตาแห้งระดับรุนแรง

ผลิตภัณฑ์ที่มีองค์ประกอบsodium hyaluronate 0.2-0.4 %

ผลิตภัณฑ์ acetylcysteine eye drop 5 % (ภายใต้การดูแลของแพทย์)

การพิจารณาน้ำตาเทียมในเวลากลางคืน (bed time)

ในช่วงเวลาก่อนนอนอาจพิจารณาเพิ่มผลิตภัณฑ์น้ำตาเทียมที่มีความหนืดเพิ่มมากขึ้น

เช่น รูปแบบตำรับเจลหรือขี้ผึ้ง ที่มีองค์ประกอบของ carbomer 980 gel หรือ liquid paraffin

    

           ซึ่งกลุ่มอาการ computer vision syndrome (CVS) หรือ digital eye strain (DES) มีแนวโน้มเป็นสาเหตุของอาการตาแห้งประเภทที่ทำให้มีการระเหยของน้ำตามากผิดปกติ (evaporative deficiency) ซึ่งมีปัจจัยทางสื่อดิจิตอลเป็นปัจจัยกระตุ้นภายนอก โดยมักจะเกิดมากกว่าอาการความผิดปกติในการสร้างน้ำตา (aqueous deficiency) หรือบางรายอาจเกิดในรูปแบบผสม ดังนั้นการพิจารณาการเลือกใช้น้ำตาเทียม อาจพิจารณาเป็นลำดับขั้นของการรักษา หรืออาจพิจารณาเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีสารสำคัญลักษณะหนืดและยึดเกาะได้ดี เช่น propylene glycol, polyethylene glycol เพื่อป้องกันการระเหยของน้ำตาโดยตรง ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์และเภสัชกร เนื่องจากผลการศึกษาด้านความปลอดภัยของทั้งสองกลุ่มไม่แตกต่างกัน

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดูแลอาการตาล้า (ocular vitamin formulation)

           แม้การรักษาหลักของ DES คือการปรับพฤติกรรมหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงร่วมกับการพิจารณาการใช้น้ำตาเทียมเพื่อบรรเทาอาการ  แต่ถ้าหากไม่สามารถหลีกเลี่ยงสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงได้อย่างเต็มที่ รวมไปถึงการใช้  น้ำตาเทียมเป็นประจำอยู่ตลอดโดยเฉพาะตำรับที่มีสารกันเสีย อาจทำให้อาการตาแห้ง ระคายเคืองตาแย่ลงได้ การเลือกดูแลและเสริมด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ช่วยบำรุงดวงตาและสายตาจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถพิจารณาประกอบได้ 

แอสตาแซนทิน (Astaxanthin)

          Astaxanthin จัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบได้จากสิ่งมีชีวิตในแหล่งน้ำทะเลธรรมชาติ ซึ่งมีการศึกษาทางคลินิกหลากหลายที่แสดงคุณประโยชน์ของสาร astaxanthin เช่น คุณประโยชน์ป้องกันโรคมะเร็ง, ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด และคุณประโยชน์อื่น ๆ รวมไปถึงประโยชน์ในการบำรุงและปกป้องดวงตา จากข้อมูลการศึกษาได้แสดงคุณประโยชน์ของการเสริมการรับประทาน astaxanthin ในกลุ่มอาการตาล้า (asthenopia)

การศึกษาทางคลินิกที่เกี่ยวข้อง  (clinical trials)

           อ้างอิงจากการศึกษาทางคลินิกของ Nitta และคณะ (2005) ได้แสดงผลของการรับประทาน astaxanthin ขนาด 6 มิลลิกรัม สามารถลดอาการล้าของตาจากการวัดด้วยแบบสอบถาม visual analogue scale (VAS) questionnaire ที่ระยะเวลานาน 4 สัปดาห์ อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับยาหลอก และสนับสนุนด้วยการศึกษาของ Shiratori (2005) และ Nagaki (2006) ที่ให้ผลในทำนองเดียวกันคือการรับประทาน astaxanthin ขนาด 6 มิลลิกรัม ติดต่อกันนาน 4 สัปดาห์สามารถลดอาการตาล้า (eyestrain), แสบตา (soreness), ตาแห้ง (dry eyes) และอาการตาพร่ามัว (blurry vision) อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับยาหลอก

ขนาดการรับประทานที่แนะนำ (dose recommendation)

Astanxanthin 6 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง ติดต่อกันนาน 4 สัปดาห์

กลไกของการออกฤทธิ์ (mechanism of action)

         Astaxanthin มีส่วนช่วยลดการหดเกร็งกล้ามเนื้อรอบดวงตา เนื่องจากการเพ่งจ้องเป็นระยะเวลานานทำให้กล้ามเนื้อรอบดวงตาที่คอยควบคุมเลนส์ตาในการเปิดรับแสงเข้าชั้นเรตินา เกิดการหดเกร็ง (muscle spasm) และเกิดอาการล้าได้ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปยังชั้นเรตินา และลดการอักเสบของบริเวณเนื้อเยื่อ ciliary body ซึ่งเป็นส่วนควบคุมการสร้างน้ำตาและช่วยปรับความคมชัดของการมองเห็น

ลูทิน & ซีแซนทิน (lutein and zeaxanthin)

          Lutein และ zeaxanthin เป็นสารในกลุ่ม carotenoids ที่พบมากในพืชผักและผลไม้สีเหลืองส้มและแดงและพืชสีเชียว ซึ่งสารทั้งสองมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ โดยมีคุณประโยชน์ต่อดวงตาค่อนข้างมาก เนื่องจากบริเวณจอประสาทตา จะมีจุดโฟกัสที่เรียกว่า แมคูลา ลูเทีย (macula lutea) ซึ่งเป็นบริเวณที่มีการะสะสมสารสีเหลือง จำพวก lutein และ zeaxanthin ในปริมาณมาก ซึ่งสารทั้งสองรวมไปถึงอนุพันธ์ meso-zeaxanthin จัดเป็นสารที่ช่วยป้องกันแสงที่ทำลายดวงตา โดยเฉพาะแสงสีฟ้า (macula block blue light) โดยจะต้านการเกิดออกซิเดชั่น  ที่เซลล์รับแสง (photoreceptor cells) ช่วยปกป้องดวงตาจากการเสื่อมจอประสาทตา

การศึกษาทางคลินิกที่เกี่ยวข้อง (clinical trials)

          จากการรวบรวมการศึกษาของ journal of Ophthalmology[29] เกี่ยวกับคุณประโยชน์ต่อดวงตาของ lutein และ zeaxanthin พบว่า การรับประทาน lutein และ zeaxanthin ส่งผลเพิ่มคุณภาพการมองเห็นต่อแสงได้ดีขึ้น รวมไปถึงลดโอกาสความเสี่ยงของการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมตามอายุ (Age related Macular degeneration: AMD) และลดโอกาสความเสี่ยงของการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมจากภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น จากโรคเบาหวาน (diabetic retinopathy) อย่างมีนัยสำคัญ

          จากการศึกษาทางคลินิกของ James M. (2017) และคณะ ได้แสดงข้อมูลของ การรับประทาน macular carotenoid supplements (MC) ในกลุ่มบุคคลที่ต้องใช้สายตาอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลานานตั้งแต่ 6 ชั่วโมงขึ้นไป (high screen time exposure) พบว่าการรับประทาน MC  ซึ่งประกอบด้วย lutein, zeaxanthin และ meso-zeaxanthin ขนาดรวม 24 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นระยะเวลา 6 เดือน พบว่ากลุ่มอาการ DES เช่น อาการล้าสายตา, ปวดศีรษะ รวมไปถึงการรบกวนสมดุลการนอนหลับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอก 

ขนาดการรับประทานที่แนะนำ (dose recommendation)

          ปัจจุบันปริมาณของ lutein และ zeaxanthin ที่ควรได้รับแต่ละวัน (dietary recommended intake: DRI) ยังไม่ได้มีคำแนะนำกำหนดชัดเจน แต่ขนาดของการศึกษาที่ให้คุณประโยชน์กับการบำรุงดวงตาคือ ปริมาณ lutein 2.5 - 30 มิลลิกรัมต่อวัน และ zeaxanthin 0.4-2.0 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งปริมาณดังกล่าวสามารถรับได้จากอาหารที่รับประทานในชีวิตประจำวันในปริมาณสัดส่วนที่แสดงดังตารางที่ 4 หรือในรูปแบบผลิตภัณฑ์อาหารเสริม เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีองค์ประกอบของ lutein ขนาด 10 มิลลิกรัมร่วมกับ zeaxanthin ขนาด 1 มิลลิกรัม เป็นระยะเวลานาน 6-12 เดือน เป็นต้น

          ปัจจุบันยังไม่มีกลไกที่ชัดเจนของ lutein และ zeaxanthin ที่อธิบายการชะลอการเสื่อมของจอประสาทตาและลดอาการล้าทางสายตา แต่สารทั้งสองมีบทบาทช่วยกรองแสงสีฟ้า (blue light) ซึ่งเป็นแสงพลังงานสูง   โดยสามารถกรองแสงสีฟ้าได้ถึงร้อยละ 40 ของปริมาณแสงที่ผ่านชั้นเรตินา ซึ่งช่วยลดการทำลายดวงตา   จากพลังงานแสงและคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยลดสภาวะเครียดออกซิเดชั่น (oxidative stress) ต่อจอประสาทตาได้อย่างมีนัยสำคัญ

ตารางที่ 4 แสดงปริมาณ lutein และ zeaxanthin ในอาหาร

อาหาร*

ปริมาณ ลูทีน/ซีแซนทีน
(มิลลิกรัมต่อ น้ำหนักสด 100 กรัม)

ผักคะน้า (สุก) (Kale, cooked)

15.8

ผักป่วยเล้ง ดิบ (raw Spinach; Spinacia Oleracea L.)

11.9

ผักป่วยเล้ง สุก (cooked Spinach; Spinacia Oleracea L.)

7.1

ผักกาดแก้ว (ดิบ) (Lettuce, raw)

2.6

บร็อคโคลี่ (สุก) (Broccoli, cooked)

2.2

ข้าวโพด (ชนิดหวาน, สุก) (Sweet corn, cooked)

1.8

ถั่วลันเตา (เขียว, สุก) (Green pea, cooked)

1.4

แขนงกะหล่ำ (สุก) (Brussels sprouts, cooked)

1.3

กะหล่ำปี (ขาว, ดิบ) (White cabbage, raw)

0.3

ไข่แดง (ขนาดกลาง) (Egg yolk, medium)

0.3

*เฉพาะส่วนที่รับประทานได้

    นอกเหนือจากสารต้านอนุมูลอิสระอย่าง astaxanthin lutein และ zeaxanthin ที่มีผลช่วยลดอาการสายตาล้าแล้วแล้วยังพบผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดูแลดวงตาอื่นๆ เช่น สารสกัดจากบิลเบอร์รี่ (bilberry extract) ที่เป็นอีกหนึ่งสารต้านอนุมูลอิสระที่มีส่วนช่วยบำรุงสายตา ลดอาการตาล้า ชะลอการเกิดภาวะจอประสาทตา ถูกทำลายจากแสงได้อีกด้วย[34] นอกเหนือจากนั้นการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจำพวกกรดไขมันโอเมก้า 3 (omega-3 fatty acid) ใน fish oil ยังมีส่วนช่วยลดอาการตาแห้ง (DED) ซึ่งเป็นปัญหาหลักสำคัญของกลุ่มอาการ DES ได้ค่อนข้างดี ทั้งนี้ทั้งนั้นควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกรทุกครั้งในการเลือกรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อความปลอดภัยและการรับประทานอย่างถูกต้อง

      สรุป

     ภาวะอาการเมื่อยล้าทางสายตา (eye strain) เป็นกลุ่มอาการที่พบได้ทุกเพศและทุกวัย และพบมากขึ้นในยุคปัจจุบัน เนื่องจากมีอัตราการใช้เทคโนโลยีที่สูงขึ้น ทำให้เกิดปัญหาทางสายตาตามมาเช่น อาการตาเหนื่อย, ตาล้า, ตาแห้ง, ระคายเคืองตา รวมไปถึงอาการปวดศีรษะ คอ บ่า ไหล่ ร่วมด้วย ซึ่งในปัจจุบันการรักษาที่ดีที่สุดคือการป้องกันการเกิดอาการดังกล่าว โดยการปรับพฤติกรรม เช่น ลดระยะเวลาการมองหน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ หรือปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม เช่น ปรับระดับสายตาให้เหมาะสม, ปรับแสงสว่างให้เหมาะสม รวมไปถึงการพักสายตาระหว่างทำงานอยู่ตลอด ร่วมกับการรักษาอาการเบื้องต้น เช่น การพิจารณาการใช้น้ำตาเทียมเพื่อบรรเทาอาการตาแห้ง หรือการเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนช่วยดูแลดวงตา เช่น astaxanthin, lutein, zeaxanthin, billbery extract หรือ fish oil เป็นต้น

 

เรียบเรียงโดย

ภก.กิตติศักดิ์ งิ้วลาย

เอกสารอ้างอิง

1.กรมควบคุมโรค. “Social Distancing” กับ 8 วิธี ป้องกันโรคโควิด-19 [อินเตอร์เน็ต]. Ddc.moph.go.th. 2021 [เข้าถึงเมื่อ 13 สิงหาคม 2564]. เข้าถึงได้จาก: https://ddc.moph.go.th/brc/news.php?news=12278&deptcode=brc  

2.สถิติการใช้งาน Digital ประเทศไทย ปี 2021 [อินเตอร์เน็ต]. Digital Marketing Blog by Aj.Lalita. 2021 [เข้าถึงเมื่อ 13 สิงหาคม 2564]. เข้าถึงได้จาก: https://ajlalita.com/thailanddigital2021/

3.Sheppard AL, Wolffsohn JS. Digital eye strain: prevalence, measurement and amelioration. BMJ Open Ophthalmol. 2018 Apr 16;3(1)

4.Eyestrain - Diagnosis and treatment - Mayo Clinic [อินเตอร์เน็ต]. Mayoclinic.org. 2021 [เข้าถึงเมื่อ 13 สิงหาคม 2564]. เข้าถึงได้จาก: https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/eyestrain/diagnosis-treatment/drc-20372403

5.Computer vision syndrome (Digital eye strain) [อินเตอร์เน็ต]. Aoa.org. 2021 [เข้าถึงเมื่อ 13 สิงหาคม 2564]. เข้าถึงได้จาก: https://www.aoa.org/healthy-eyes/eye-and-vision-conditions/computer-vision-syndrome?sso=y

6.Portello JK, Rosenfield M, Bababekova Y, et al. Computer-related visual symptoms in office workers. Ophthalmic and Physiological Optics 2012;32:375–82.

7.Computer Vision Syndrome (CVS) ตาไม่สบายเมื่อติดจอคอม | Bangkok Hospital [อินเตอร์เน็ต]. Bangkokhospital.com. 2021 [เข้าถึงเมื่อ 13 สิงหาคม 2564]. เข้าถึงได้จาก: https://www.bangkokhospital.com/content/computer-vision-syndrome

8.Right Position Computer Illustrations & Vectors. [อินเตอร์เน็ต]. 2021 [เข้าถึงเมื่อ 13 สิงหาคม 2564]. เข้าถึงได้จาก: https://www.dreamstime.com/illustration/right-position-computer.html

9.Blue Light and Screen Time Guide for Schools and Educators . [อินเตอร์เน็ต]. Eyesafe.com. 2021 [เข้าถึงเมื่อ 13 สิงหาคม 2564]. เข้าถึงได้จาก: https://eyesafe.com/wp-content/uploads/2020/02/eyesafe-blue-light-screen-time-guide-schools-educators1.pdf 

10.Blue Light and Digital Eye Strain [อินเตอร์เน็ต]. American Academy of Ophthalmology. 2021 [เข้าถึงเมื่อ 13 สิงหาคม 2564]. เข้าถึงได้จาก: https://www.aao.org/eye-health/tips-prevention/blue-light-digital-eye-strain

11.The 20-20-20 Rule | The Canadian Association of Optometrists [อินเตอร์เน็ต]. Opto.ca. 2021 [เข้าถึงเมื่อ 13 สิงหาคม 2564]. เข้าถึงได้จาก: https://opto.ca/health-library/the-20-20-20-rule

12.Akpek EK, Amescua G, Farid M, Garcia-Ferrer FJ, Lin A, et.al. American Academy of Ophthalmology Preferred Practice Pattern Cornea and External Disease Panel. Dry Eye Syndrome Preferred Practice Pattern®. Ophthalmology. 2019 Jan;126(1):P286-P334.

13.Guideline for the treatment of dry eye syndrome in Primary Care. [อินเตอร์เน็ต]. Gp-portal.westhampshireccg.nhs.uk. 2021 [เข้าถึงเมื่อ 13 สิงหาคม 2021]. เข้าถึงได้จาก: https://gp-portal.westhampshireccg.nhs.uk/wp-content/uploads/sites/3/2021/01/Guideline-for-treatment-of-dry-eye-sondrome-in-Primary-Care-January-21.pdf

14. The definition & classification of dry eye disease: report of the Definition and Classification Subcommittee of the International Dry Eye WorkShop. Ocul Surf. 2007; 5(2): 75-92. 2.

15. Albietz JM. Dry eye: an update on clinical diagnosis, management and promising new treatments. Clin Exp Optom. 2001; 84:1:4-18.

16.Cwiklik L. Tear fil lipid layer: a molecular level review. Biochim Biophys Acta. 2016

17.“ตาแห้ง” โรคใกล้ตัวที่ใครก็เป็นได้. [Internet]. gpo.or.th. 2021 [เข้าถึงเมื่อ 13 August 2564]. เข้าถึงได้จาก: https://www2.gpo.or.th/Portals/6/Newsletter/RDINewsYr23No3-7.pdf

18.Moshirfar M. et al. Artificia tears potpourri: a literature review. Clin Ophthalmol. 2014; 8: 1419-33

19.Brignole F, Pisella PJ, Dupas B, Baeyens V, Baudouin C. Efficacy and safety of 0.18% sodium hyaluronate in patients with moderate dry eye syndrome and superficial keratitis. Graefes Arch Clin Exp Ophthalmol. 2005 Jun;243(6):531-8.

20. Lee JH, Ahn HS, Kim EK, Kim TI. Efficacy of sodium hyaluronate and carboxymethylcellulose in treating mild to moderate dry eye disease. Cornea. 2011 Feb;30(2):175-9.

21.Perry HD. Dry Eye Disease: Pathophysiology, classification and diagnosis. Am J Manag Care. 2008;14:S79-S87

22.Computer eye strain formula™. [อินเตอร์เน็ต]. Eyescience.com. 2021 [เข้าถึงเมื่อ 13 สิงหาคม 2564]. เข้าถึงได้จาก: https://eyescience.com/wp-content/uploads/2019/07/Final-CVF-Brochure_Read.pdf

23.Nagaki Y, Mihara Y, Tsukahara H, et al. The supplementation effect of astaxanthin on accommodation and asthenopia. J Clin Therap Med. 2006; 22(1):41-54.

24.Nitta et al. Effects of astaxanthin on accommodation and asthenopia-Dose finding study in healthy volunteers. J. Clin. Therap. Med. 2005;21(6):637-650.

25.Shiratori et al. Effect of astaxanthin on accommodation and asthenopia- Efficacy identification study in healthy volunteers. J. Clin. Therap. Med. 2005;21(5):543-556.

26.Nagaki et al. The effects of astaxanthin on retinal capillary blood flow in normal volunteers. J. Clin. Therap. Med. 2005;21(5):537-542.

27.Suzuki et al. Suppressive effects of astaxanthin against rat endotoxin-induced uveitis by inhibiting the NF-kB signaling pathway. Exp. Eye Res. 2006;82:275-281.

28.Lutein and Zeaxanthin - Eye and Vision Benefits [อินเตอร์เน็ต]. All About Vision. 2021 [เข้าถึงเมื่อ 13 สิงหาคม 2564]. เข้าถึงได้จาก: https://www.allaboutvision.com/nutrition/lutein.htm 

29.Scripsema NK, Hu DN, Rosen RB. Lutein, Zeaxanthin, and meso-Zeaxanthin in the Clinical Management of Eye Disease. J Ophthalmol. 2015;2015:865179.

30.Stringham JM, Stringham NT, O'Brien KJ. Macular Carotenoid Supplementation Improves Visual Performance, Sleep Quality, and Adverse Physical Symptoms in Those with High Screen Time Exposure. Foods. 2017 Jun 29;6(7):47.

31.Mangels AR, Holden JM, Beecher GR, Forman MR, Lanza E. Carotenoid content of fruits and vegetables: an evaluation of analytic data. J Am Diet Assoc 1993;93:284-96.

32.Sommerburg O, Keunen J, Bird A, van Kuijk F. Fruits and vegetables that are sources of lutain and zeaxanthin: the macular pigment in human eyes. Br J Ophthalmol 1998;82:907-10.

33.กินอะไร ชะลอจอประสาทตาเสื่อม | by Faculty of Pharmacy, Mahidol University. [อินเตอร์เน็ต]. Pharmacy.mahidol.ac.th. 2021 [เข้าถึงเมื่อ 13 สิงหาคม 2564]. เข้าถึงได้จาก: https://pharmacy.mahidol.ac.th/en/knowledge/article 

34.Bilberry Extract: Benefits for Eyes, Health and Optimal Dosage [อินเตอร์เน็ต]. Performance Lab®. 2021 [เข้าถึงเมื่อ 13 สิงหาคม 2564]. เข้าถึงได้จาก: https://www.performancelab.com/blogs/vision/bilberry-extract-benefits-for-eyes-health-and-optimal-dosage

35.The Benefits of Fish Oil for Dry Eye [อินเตอร์เน็ต]. American Academy of Ophthalmology. 2021 [เข้าถึงเมื่อ 13 August 2564]. เข้าถึงได้จาก: https://www.aao.org/eye-health/tips-prevention/does-fish-oil-help-dry-eye

 

Like
ความคิดเห็น (0)
ก่อนหน้า 1 ถัดไป
ร้านค้าออนไลน์
© 2006-2024
Vevo Systems Co., Ltd.