โรคกลาก...เป็นได้อย่างไร เราจะป้องกันและรักษาอย่างไร
27 Jul, 2021 / By
salacrm01
โรคกลาก...เป็นได้อย่างไร เราจะป้องกันและรักษาอย่างไร
โรคกลาก (ringworm) เป็นโรคติดเชื้อผิวหนังจากเชื้อรา ซึ่งสามารถเป็นได้ทุกบริเวณผิวหนังของร่างกาย ตั้งแต่ศีรษะจนถึงเล็บมือเล็บเท้า ในนักกีฬา ชาวไร่ ชาวสวน และชาวประมง อาจจะพบได้มากกว่ากลุ่มอาชีพทั่วไป สาเหตุเนื่องมาจากมีปัจจัยกระตุ้นสำคัญคือ มีโอกาสสัมผัสกับความร้อนชื้นได้บ่อยซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้เชื้อราที่ก่อโรคสามารถเจริญเติบโตได้ดี
เชื้อก่อโรคกลากเป็นเชื้อราในกลุ่ม Dermatophytes มักจะก่อโรคที่ผิวหนังและชั้นใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดรอยโรคที่เป็นลักษณะขอบยกนูนแดงชัดเจน ขยายขนาดวงใหญ่ขึ้นได้ ตรงกลางมักเป็นขุย หากเป็นบริเวณหนังศีรษะอาจพบปัญหาผมร่วงเป็นหย่อมได้ และมักมีอาการคันร่วมด้วย
วิธีการป้องกันการเป็นโรคกลาก
1.อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายและเช็ดตัวให้แห้ง หลังจากการทำงาน หรือออกกำลังกายทันที
2.ทำความสะอาดที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่ม และผึ่งแดดให้แห้ง อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
3.ทำความสะอาดเสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ของใช้ส่วนตัว และผึ่งแดดให้แห้งอยู่เสมอ
4.ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัว เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ชุดชั้นใน เสื้อผ้า ร่วมกับผู้อื่น
การวินิจฉัยโรคกลาก
1.การตรวจร่างกาย
2.การย้อมด้วย Potassium Hydroxide แล้วส่องกล้องจุลทรรศน์
3.การส่องภายใต้ Ultraviolet light (Wood’ lamp)
4.การเพาะเชื้อ (มีความจำเพาะกว่าการย้อมด้วย Potassium Hydroxide แต่ต้องใช้เวลารอนานกว่า3สัปดาห์)
วิธีการรักษาโรคกลาก
การใช้ยาทาหรือยารับประทานฆ่าเชื้อรา ยกตัวอย่างชื่อยา Clotrimazole, Ketoconazole, Miconazole, Fluconazole, Terbinafine, Griseofulvin เป็นต้น (ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์) โดยการจะเลือกใช้ยาใดขึ้นและรูปแบบใดขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้ให้การรักษา เนื่องจากยาบางชนิดที่ใช้ในการรักษากลากอาจเกิดอาการข้างเคียงที่รุนแรง หรืออาจเกิดอันตรกิริยากับยาอื่นๆที่ผู้ป่วยใช้อยู่ได้

จัดทำโดย
ภญ.ศุธิดา แผ่นมณี
อ้างอิง
1.Hainer BL. Dermatophyte infectionsexternal icon. Am Fam P 2003 Jan 1;67(1):101-8.
2.Havlickova B, Czaika VA, Friedrich M. Epidemiological trends in skin mycoses worldwideexternal icon. Mycoses. 2008 Sep;51 Suppl 4:2-15.
3.Noble SL, Forbes RC, Stamm PL. Diagnosis and management of common tinea infectionsexternal icon. Am Fam Physician. 1998 Jul;58(1):163-74, 77-8.
